วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ประวัติวง incubus

ประวัติวง incubus
จุดเริ่มต้นของ 5 หนุ่มจากเมืองซาส(Calabasas),คาริฟ (Calif)ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อปี 1991 ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่นำมาสู่พัฒนาการของวง กลุ่มเพื่อนชั้นประถมอย่าง แบรนดอน บอยด์ (Brandon Boyd) นักร้องนำ, และ โจเซ่ พาซิราส (Jose Pasillas)มือกลอง ได้พบกับ ไมค์ เอียนซิเกิล (Mike Einziger),มือกีตาร์ (ผู้ซึ่งครอบครัว ของเค้ากำลังเป็นกังวลเกี่ยวกับที่เค้าไม่ชอบสังคมกับใคร และใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการซ้อมดนตรีอยู่คนเดียวในช่วง ม.ต้น) หลังจากทั้ง 3 หนุ่มได้เข้าเรียนในระดับ ม. ปลาย พวกเค้าก็ได้ชักชวน อเล็กซ์ คัททูนิช (AlexKatunich) ซึ่งเล่นเบสในแนวแจ็ส มาร่วมวงกับพวกเค้าด้วย และในปี 2534(ประมาณเกรด 10) พวกเค้าได้ตัดสินใจ และคิดว่าพวกเค้าพร้อมที่จะเดินทางในสายดนตรีต่อไปในอนาคต เริ่มด้วยการออกอินดี้อัลบั้ม “Fungus-Amongus” ที่ทำให้ Incubus เริ่มเป็นที่รู้จักจนได้รับการเซ็นสัญญากับ Sony Music ตามด้วยการปล่อย EP 6 เพลงที่มีชื่อว่า “Enjoy Incubus” ในปี 1997 ก่อนที่จะมีผลงานชุดแรกที่ใช้ชื่อว่า “S.C.I.E.N.C.E.” ดีเจไลฟ์ ได้แยกตัวออกจากวงและถูกแทนที่โดย ดีเจ คริส คิลมอร์(DJ Chris Kilmore)ด้วยแรง ผลักดัน และการเข้าถึงจิตใจซึ่งกันและกันทีละเล็กทีละน้อย พวกเค้า ได้กลับเข้าทำงานในห้องอัดอีกครั้ง ในปี 1999 Incubus ออกอัลบั้ม “Make Yourself” ผลงานที่ทำให้ชื่อของ Incubus เป็นที่รู้จักของแฟนเพลงทั่วโลกด้วยเพลงฮิตอย่าง “Pardon Me”, “Stella” และ “Drive” ซึ่งทำให้อัลบั้มนี้มียอดขายกว่า 2 ล้านก๊อปปี้ ในปี2001 Incubus ก็ออกอัลบั้ม “Morning View” ซึ่งเปิดตัวที่อันดับ 2 ใน Billboard Chart ด้วยซิงเกิ้ลเด่นอย่าง “Wish You Were Here”, “Nice To Know You” และ “Are You In?” ตามด้วยทัวร์คอนเสิร์ตอย่างหนักกว่า 2 ปีเต็ม จน Dirk Lance มือเบสก็ตัดสินใจลาออกจากวง ทำให้ Incubus ดึงเอา Ben Kenney อดีตสมาชิกวง The Roots มาทำหน้าที่มือเบส ร่วมกับสมาชิกดั้งเดิมทั้ง 4 คนที่ประกอบด้วย Brandon Boyd (ร้องนำ), Mike Einziger (กีต้าร์), Jose Pasilla (กลอง) และ DJ Kilmore ในตำแหน่ง Turntables ปี ค.ศ. 2004 อินคูบัส อัลบั้ม “A Crow Left Of The Murder” ที่ได้สุดยอดโปรดิวเซอร์อย่าง Brendan O’Brien (ซึ่งเคยร่วมงานกับวงอย่าง Korn, Rage Against The Machine, Pearl Jam และ The Offspring) มาร่วมงานอีกด้วย ประเดิมด้วยซิงเกิ้ลแรก “Megalomaniac” อัลบั้มลำดับที่ 6 “Light Grenades” (ไลท์ เกรอเนดส์) โดยในอัลบั้มนี้ทางวงได้กลับมาร่วมงานอีกครั้งกับ Brendan O’Brien (โปรดิวเซอร์ชื่อดังที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของดังๆอย่าง Korn, Pearl Jam และ Rage Against The Machine มาแล้ว) อีกครั้ง เปิดตัวด้วยซิงเกิ้ล “Anna Molly” อัลบั้มนี้ขึ้นชาร์ทอันดับ 1 ในอเมริกา
ผลงาน
1995: Fungus Amongus
1996: Enjoy Incubus
1997: S.C.I.E.N.C.E.
1999: Make Yourself
2001: Morning View
2004: A Crow Left of the Murder...
2004: Alive at Red Rocks
2006: Light Grenades

ประวัติวง PARAMORE

ประวัติวง PARAMORE
พาร์อะมอร์ (Paramore อ่านว่า "Par-a-mour" ) เป็นวงดนตรีแนวป็อปร็อก ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ ปี 2008 สาขาศิลปินหน้าใหม่ก่อตั้งวงตั้งแต่ปี 2002 ในรัฐ Tennesse โดยมีสมาชิกทั้งหมด 4 คนประกอบด้วย Hayley Williams (ร้องนำ), Josh Farro (กีต้าร์), Jeremy Davis (เบส), and Zac Farro (กลอง) ออกผลงานชุดแรก All We Know Is Falling ในปี 2005 และ Riot! คืออัลบั้มชุดที่ 2 อัลบั้มชุดนี้ขึ้นชาร์ทสูงสุดถึงอันดับที่ 15 ในอันดับอัลบั้มของบิลบอร์ดและเพลง “Misery Business” ได้ขึ้นอันดับที่ 34 ของอันดับเพลงของบิลบอร์ดอีกด้วย

ประวัติวง GOOD CHARLOTTE

ประวัติวง GOOD CHARLOTTE
กู้ด ชาร์ล็อตต์ (Good Charlotte) เป็นวงแนวป็อป-พังค์จาก วาลดอร์ฟ รัฐแมรี่แลนด์ (Waldorf, Maryland) ก่อตั้งวงมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 นำโดย 2 พี่น้องฝาแฝด Joel Madden (ร้องนำ) และ Benji Madden (กีต้าร์) ร่วมด้วย 2 เพื่อนสนิท Billy Martin (กีต้าร์) และ Paul Thomas (เบส) มีเพลงฮิตอย่าง “I Just Wanna Live” และ “Girls And Boys” ในงานเอ็มทีวี เอเชีย เอด ,กรุงเทพ กู้ด ชาร์ล็อตต์ได้ฟอร์มตัวกันในปี พ.ศ. 2539 อัลบั้มแรกของพวกเค้าเปิดตัววางแผงในอีก 3 ปีถัดมาหลังจากตั้งวง อัลบั้มต่อมาคือ The Young and the Hopeless ซึ่งวางแผงในเดือนตุลาคม ปี 2545 อัลบั้ม The Young and the Hopeless ได้รับรางวัลแผ่นทองคำขาวมอบโดย RIAA 3 รางวัลจากผลงานเพลง ซิงเกิ้ลดัง คือ "Lifestyles of the Rich and Famous," "Boys and Girls," "Hold On" ทำให้พวกเค้าได้ออกรายการ Saturday Night Live ได้ลงปก หนังสือ Rolling Stone นิตยสารเพลง Alternative Press หนังสือ New York Times ก็ได้ลงรายละเอียดและประวัติของวงนี้ด้วย และนอกจากนั้นพวงกเค้าก็ได้ออก สปอต โฆษณาทาง CNN และ The Today Show วง กู้ด ชาร์ล็อตต์ก็ยังสามารถเรียกคะแนนนิยมจากแฟนๆของ MTV ได้อีกด้วย โดยที่2 พี่น้อง ตระกูล แมดเดน ครั้งนึงได้เป็นพิธีกรรายการ All Things Rock มิวสิกวิดีโอของพวกเค้าก็ติดอันดับบนชาร์ทของ MTV และ MTV2 และในขณะเดียวกันเพลง "The Anthem" ก็ได้รับรางวัล "Viewers Choice" ที่งาน MTV Video Music Awards 2546 ทางวงได้ตระเวนออกทัวร์โดยไม่หยุดพัก ระเบิดพลังให้เห็นบนเวทีทั่วโลกติดต่อกันนานถึง 20 เดือน กู้ด ชาร์ล็อตต์ยังถือโอกาสทำกิจกรรมพิเศษอีกหลายอย่าง ทั้งเป็นนักร้องรับเชิญให้กับเมสท์ ( Mest ) และ เอ็น.อี.อาร์.ดี. (N.E.R.D.) ทำเสื้อผ้ายี่ห้อเลเวล 27 (Level 27) และยี่ห้ออื่นๆ รวมถึงยังทำของเล่นอีกด้วย ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2547 พี่น้องแมดเดนยังทำค่ายเพลงเอง ชื่อว่าดีซี แฟล็ก เร็คคอร์ดส์ (DC Flag Records) โดยทำอัลบั้มให้กับโลลา เรย์ (Lola Ray) และฮาเซน สตรีท (Hazen Street) เมื่อถึงเวลาที่จะออกอัลบั้มที่สาม กู้ด ชาร์ล็อตต์ต้องการที่จะใส่ความสัมพันธ์ของสมาชิกในวง และความติดต่อขอร่วมงานกับอีริค วาเลนไทน์ (Eric Valentine) ผู้อยู่เบื้องหลังการทำงานในอัลบั้มแรก ทางวงทำเพลงเกือบ 30 เพลงตั้งแต่เดือนมีนาคมไปจนถึงสิงหาคม พ.ศ. 2547 ณ แบร์ฟุต สตูดิโอของวาเลนไทน์ในลอสแอนเจลิส อัลบั้มที่ 3 The Chronicles of Life and Death ออกวางขายปี พ.ศ. 2547 อัลบั้มขึ้นอันดับ 3 บิลบอร์ด มีเพลงดังอย่าง "Predictable" และ "I Just Wanna Live" “Good Morning Revival” คือผลงานชุดที่ 4 ของกู้ด ชาร์ล็อตต์ ที่มาพร้อมกับทิศทางดนตรีใหม่ โดยมีการนำซาวนด์ดนตรีที่หลากหลายมาผสมผสานในอัลบั้มนี้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำอิทธิพลดนตรีแดนซ์ (ซึ่งเป็นแนวเพลงที่ทางวงกำลังให้ความสนใจ)มาใส่ไว้ในอัลบั้ม, เพลงบัลลาด, ไปจนถึงเพลงร็อกมันๆ โดยในอัลบั้มนี้ กู้ด ชาร์ล็อตต์ได้กลับมาร่วมงานกับ ดอน กิลมอร์ (Don Gilmore) (?ลินคิน พาร์ค ,เอฟริล ลาวีน) โปรดิวเซอร์ชื่อดังที่เคยเป็นโปรดิวเซอร์ในผลงานชุดแรกของวงอีกครั้ง ประเดิมซิงเกิ้ลแรกด้วย “Keep Your Hands Off My Girl” ในงานเอ็มทีวี เอเชีย เอด ,กรุงเทพ กู้ด ชาร์ล็อตต์ได้ฟอร์มตัวกันในปี พ.ศ. 2539 อัลบั้มแรกของพวกเค้าเปิดตัววางแผงในอีก 3 ปีถัดมาหลังจากตั้งวง อัลบั้มต่อมาคือ The Young and the Hopeless ซึ่งวางแผงในเดือนตุลาคม ปี 2545 อัลบั้ม The Young and the Hopeless ได้รับรางวัลแผ่นทองคำขาวมอบโดย RIAA 3 รางวัลจากผลงานเพลง ซิงเกิ้ลดัง คือ "Lifestyles of the Rich and Famous," "Boys and Girls," "Hold On" ทำให้พวกเค้าได้ออกรายการ Saturday Night Live ได้ลงปก หนังสือ Rolling Stone นิตยสารเพลง Alternative Press หนังสือ New York Times ก็ได้ลงรายละเอียดและประวัติของวงนี้ด้วย และนอกจากนั้นพวงกเค้าก็ได้ออก สปอต โฆษณาทาง CNN และ The Today Show วง กู้ด ชาร์ล็อตต์ก็ยังสามารถเรียกคะแนนนิยมจากแฟนๆของ MTV ได้อีกด้วย โดยที่2 พี่น้อง ตระกูล แมดเดน ครั้งนึงได้เป็นพิธีกรรายการ All Things Rock มิวสิกวิดีโอของพวกเค้าก็ติดอันดับบนชาร์ทของ MTV และ MTV2 และในขณะเดียวกันเพลง "The Anthem" ก็ได้รับรางวัล "Viewers Choice" ที่งาน MTV Video Music Awards 2546 ทางวงได้ตระเวนออกทัวร์โดยไม่หยุดพัก ระเบิดพลังให้เห็นบนเวทีทั่วโลกติดต่อกันนานถึง 20 เดือน กู้ด ชาร์ล็อตต์ยังถือโอกาสทำกิจกรรมพิเศษอีกหลายอย่าง ทั้งเป็นนักร้องรับเชิญให้กับเมสท์ ( Mest ) และ เอ็น.อี.อาร์.ดี. (N.E.R.D.) ทำเสื้อผ้ายี่ห้อเลเวล 27 (Level 27) และยี่ห้ออื่นๆ รวมถึงยังทำของเล่นอีกด้วย ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2547 พี่น้องแมดเดนยังทำค่ายเพลงเอง ชื่อว่าดีซี แฟล็ก เร็คคอร์ดส์ (DC Flag Records) โดยทำอัลบั้มให้กับโลลา เรย์ (Lola Ray) และฮาเซน สตรีท (Hazen Street) เมื่อถึงเวลาที่จะออกอัลบั้มที่สาม กู้ด ชาร์ล็อตต์ต้องการที่จะใส่ความสัมพันธ์ของสมาชิกในวง และความติดต่อขอร่วมงานกับอีริค วาเลนไทน์ (Eric Valentine) ผู้อยู่เบื้องหลังการทำงานในอัลบั้มแรก ทางวงทำเพลงเกือบ 30 เพลงตั้งแต่เดือนมีนาคมไปจนถึงสิงหาคม พ.ศ. 2547 ณ แบร์ฟุต สตูดิโอของวาเลนไทน์ในลอสแอนเจลิส อัลบั้มที่ 3 The Chronicles of Life and Death ออกวางขายปี พ.ศ. 2547 อัลบั้มขึ้นอันดับ 3 บิลบอร์ด มีเพลงดังอย่าง "Predictable" และ "I Just Wanna Live" “Good Morning Revival” คือผลงานชุดที่ 4 ของกู้ด ชาร์ล็อตต์ ที่มาพร้อมกับทิศทางดนตรีใหม่ โดยมีการนำซาวนด์ดนตรีที่หลากหลายมาผสมผสานในอัลบั้มนี้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำอิทธิพลดนตรีแดนซ์ (ซึ่งเป็นแนวเพลงที่ทางวงกำลังให้ความสนใจ)มาใส่ไว้ในอัลบั้ม, เพลงบัลลาด, ไปจนถึงเพลงร็อกมันๆ โดยในอัลบั้มนี้ กู้ด ชาร์ล็อตต์ได้กลับมาร่วมงานกับ ดอน กิลมอร์ (Don Gilmore) ?ลินคิน พาร์ค ,เอฟริล ลาวี โปรดิวเซอร์ชื่อดังที่เคยเป็นโปรดิวเซอร์ในผลงานชุดแรกของวงอีกครั้ง ประเดิมซิงเกิ้ลแรกด้วย “Keep Your Hands Off My Girl”  
ผลงาน
Good Charlotte (2000)
The Young and the Hopeless (2002)
The Chronicles of Life and Death (2004)
Good Morning Revival (2007

ประวัติวง MCR

ประวัติวง MCR
ในช่วงสัปดาห์วันเกิดเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน เจอราร์ด เวย์ ซึ่งเดิมทีทำงานอยู่ในนิวยอร์ก ในอาชีพเกี่ยวกับการออกแบบการ์ตูนทางด้านศิลปะ และสถานที่ทำงานของเขาก็อยู่ไม่ห่างจากตึกเวิร์ดเทรดเซ็นเตอร์เท่าไรนัก เขาได้เป็นผู้เห็นเหตุการณ์ตอนที่เครื่องบินชนตึก และภาพอันน่าสยดสยองต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นต่อหน้าเขา ความน่าสะพรึงกลัวและเศร้าสลดต่อเหตุการณ์ในครั้งนั้น ก็ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจอันสำคัญในการเริ่มต้นเขียนเพลง "Skylines and Turnstiles" เพื่อแสดงความรู้สึกกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น [2] และเริ่มก่อตั้งวงโดยชวนเพื่อนในสมัยเรียน แมต เพลิสเซียร์ มาเป็นมือกลอง พวกเขาก่อตั้งวงในปี 2000 เริ่มต้นด้วยการแต่งเพลงร่วมกันในช่วงที่เรียนอยู่ที่ไฮสคูล ก่อนที่จะได้มือกีตาร์ เรย์ โตโร มาร่วมงานกับพวกเขาแล้วไม่นานทั้งสามก็ได้สมาชิกครบ 5 คน แต่ทางวงนั้นยังขาดมือเบส เมื่อไมค์กี้ เวย์ น้องชายคนเดียวของเจอราร์ดรู้ว่าพี่ชายอยากก่อตั้งวง แต่ยังขาดแคลนมือเบสอยู่ เขาจึงอาสามารับหน้าที่นี้เอง ถึงแม้ว่าเดิมทีแล้วเขาจะไม่เคยเล่นเบสเลย เขาเสียสละเวลาและพยายามอย่างหนักในการฝึกซ้อมเบสทุกวัน จนในที่สุดก็ได้มาเป็น มือเบสประจำวง และคนสุดท้าย แฟรงค์ ไอเอโร ก็ตามมาเล่นกีตาร์ ชื่อวง มาย เคมิคอล โรแมนซ์ (My Chemical Romance) นั้นนำมาจากหนังสือเรื่อง "Ecstasy: Three tales of chemical romance" ซึ่งประพันธ์โดยนักเขียนชาวสก็อตต์ เออร์วิน เวลช์ (Irvine Welsh) โดยไมค์กี้เป็นผู้เสนอชื่อนี้ขึ้นมา และทุกคนก็มีมติยอมรับชื่อนี้ใช้เป็นชื่อวง หลังจากรวมตัวกันครบพวกเขาก็ได้เริ่มออกทัวร์แถบตะวันออกเฉียงเหนือของ คอร์ริดอร์ (Corridor) เพลงแรกที่ได้บันทึกเสียงในอัลบั้มชุดแรกคือ "Our Lady of Sorrows" มาย เคมิคอล โรแมนซ์ได้เซ็นสัญญากับค่าย อายบอลล์ เรคคอร์ดส์ (Eyeball Records) พร้อมกับเริ่มทำอัลบั้มชุดแรกของวง I Brought You My Bullets, You Brought Me Your Love ออกวางขายในปี 2002 โดยได้ เจออฟฟ์ ริคลีย์ (Geoff Rickly) นักร้องนำวง เติร์สเดย์ (Thursday) มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ [3] ต่อมาทางวงในเซ็นสัญญากับค่ายรีไพรส์ เรคคอร์ดส์ (Reprise Records) สังกัดวอร์เนอร์ มิวสิก (Warner Music) ออกอัลบั้มที่ 2 ชื่อ Three Cheers for Sweet Revenge ออกวางขายในปี 2004 มีเพลงดังในอัลบั้มอย่าง "I'm Not Okay (I Promise) ", "Helena" และ "The Ghost of You" ในอัลบั้มชุดที่ 3 “The Black Parade” ชุดนี้มาย เคมิคอล โรแมนซ์ ร่วมงานกับร่วมกับ ร็อบ คาวัลโญ่ (Rob Cavallo) โปรดิวเซอร์ที่เคยทำงานร่วมกับกรีนเดย์ และอลานิส มอริสเส็ทท์[4] โดยมี “Welcome To The Black Parade” เป็นซิงเกิ้ลแรกที่ขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษ ส่วนในอันดับอัลบั้มในอเมริกาเปิดตัวที่อันดับ 2 มาย เคมิคอล โรแมนซ์ ยังได้โชว์ในงาน Red Carpet On The Rock ซึ่งเป็นงาน Pre-Event ของ “เอ็มทีวี วีดีโอ มิวสิก อวอร์ดส” เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2006
สมาชิก
เจอราร์ด เวย์ (Gerard Way)
เรย์ โตโร (Ray Toro)
แฟรงค์ ไอเอโร (Frank Iero)
บ็อบ ไบรเออร์ (Bob Bryar)
ไมค์กี้ เวย์ (Mikey Way) ออกจากวงชั่วคราว

ประวัติวง PANIC! AT THE DISCO

ประวัติวง PANIC! AT THE DISCO
โดยวงนี้มาจาก Lasvegas, Nevada เพลงฝั่งอเมริกาแต่ว่า คล้ายอีโมหน่อยๆ วงนี้มีสวนผสมของอีโมแต่ว่า ไม่ใช่วงที่อีโมจ๋า ที่ต้องทำผมเป๋ ทาขอบตาดำ รัยทำนองนั้นนะ วง P!ATD ฟอร์มวงกันที่ลาสเวกัสเนี่ยละ สมาชิกคนแรกเลยก็คือ Ryan Ross มือกีต้าร์ กับ Speancer Smith มือกลอง แล้วก็มีสมาชิกเพิ่ม คือ Brent Wilson มือเบส กับ Brendon Urie นักร้องนำจ้า ส่วนชื่อวงแปลกๆ แนวๆนี่ได้มาจากเนื้อเพลงท่อนหนึ่งของเพลง Panic ของวง Name Taken จ้ะ (คลิกดูได้เลยถ้าไม่เชื่อ) เดโมเพลงของเขาบังเอิ๊ญไปเข้าหู Pete Wentz สมาชิกวง Fall Out Boy วงที่ใครๆ หลายคนชอบกกัน แล้วก็เลยถูกชวนไปทำอัลบั้มกันกับ Fueled by Ramen Records ค่ายที่ผลิตเพลงอีโมดังๆ แนวๆ ออกมาเยอะจ้ะ เช่น Fall Out Boy, Paramore, Yellowcard, Jimmy Eat World, The Academy Is..... อ่อ พวกเขาถูกจับเซ็นสัญญาตั้งแต่ยังไม่จบไฮสคูล (สุดยอด!) แล้วก็ทำอัลบั้มโดยมี Matt Squire เป็นโปรดิวเซอร์ค่ะ แล้ววง P!ATD ก็สร้างชื่อ โดยการติดอันดับที่ 112 ใน Billboard 200 Album อันดับที่ 6 ใน Billboard independent chart และอันดับ 1 ใน Billboard heatseeker chart และก็ติดอับดัน 1 ใน Myspace chart และก็ติดท็อปเทนใน PureVolume Artist

ประวัติวง FALL OUT BOY

ประวัติวง FALL OUT BOY
ฟอลล์ เอาท์ บอย (Fall Out Boy) เป็นวงป็อปพังก์จากอเมริกา ฟอร์มวงในปี 2001 ประกอบด้วยสมาชิก Patrick Stump (ร้อง,กีตาร์,นักแต่งเพลงหลัก ), Pete Wentz (เบสกีตาร์,ร้อง,นักเขียนเนื้อเพลงหลัก), Joe Trohman (กีตาร์,ร้อง) และ Andy Hurley (กลอง,เพอร์คัชชัน) ได้รับรางวัลจากเวที เอ็มทีวี วิดีโอ มิวสิก อวอร์ดส จากเพลง Sugar We're Going Down และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ สาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และได้รับรางวัล Teen Choice Awards มาได้อีก 3 รางวัล และเพลง "Dance, Dance" ก็คว้ารางวัลเอ็มทีวี วิดีโอ มิวสิก อวอร์ดส สาขาเพลงที่ได้รับเลือกจากคนดูมากที่สุดและยังเข้าชิงในสาขามิวสิควิดีโอศิลปินกลุ่มยอดเยี่ยมอีกด้วย อัลบั้มชุด From Under the Cork Tree ออกวางขายในปี 2005 ได้รับสองแผ่นเสียงทองคำ ขายได้มากกว่า 2.5 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา และต่อมาเดือน กุมภาพันธ์ 2007 ทางวงได้ออกผลงานอัลบั้มชุด Infinity on High ซึ่งสามารถขึ้นชาร์ทที่อันดับ 1 ด้วยยอดขาย 260,000 ชุดในสัปดาห์แรก และมีซิงเกิ้ลแรกคือ "This Ain't a Scene, It's an Arms Race" ขึ้นอันดับ 2 บนชาร์ทซิงเกิ้ลนิตยสารบิลบอร์ด
สมาชิกวง
Patrick Stump
Pete Wentz
Joe Trohman
Andy Hurley

ประวัติวง avenged sevenfold

ประวัติวง Avenged sevenfold
เอเวนเจด เซเวนโฟลด์ (Avenged Sevenfold หรือ A7X ) เป็นวงเฮฟวีเมทัล จากอเมริกา ได้รับรางวัล ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจากเพลง Bat Country จากงาน เอ็มทีวี วิดีโอ มิวสิก อวอร์ดส 2006 เริ่มก่อนตั้งวงในปี 1999 โดยอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จคืออัลบั้ม City of Evil ในปี 2005 เอเวนเจด เซเวนโฟลด์ได้ก่อตั้งวงขึ้นเมื่อปี 1999 โดยมีอัลบั้มแรกชื่อว่า Sounding the Seventh Trumpet โดยอัลบั้มนี้ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ที่สมาชิกทั้งหมดของวงนั้นยังอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น ได้ออกวางขายกับสังกัด Good Life Recordings หลังจากนั้น Synyster Gates ได้เข้ามาร่วมกับทางวงและทำการอัดเสียงเพลง To End The Rapture ใหม่โดยมี Gates เล่นในเพลงนี้ด้วยและได้วางขายโดย Hopeless Records จากนั้นอัลบั้มต่อมามีชื่อว่า Waking the Fallen ซึ่งยังอยู่กับ Hopeless Records เช่นเดิม อัลบั้มนี้มาแรงจนได้รับคำชมเป็นอย่างมากจากนิตยสารโรลลิงสโตน หลังจากนั้นไม่นานเอเวนเจด เซเวนโฟลด์ ก็ได้เซ็นสัญญากับ Warner Bros. Records. ค่ายที่อยู่ตั้งแต่อัลบั้มแรกจนถึงปัจจุบัน Good Life Recordings (2001-2002) Hopeless Records (2002-2004) Warner Bros. Records (2004-ปัจจุบัน) City of Evil อัลบั้มที่ 3 ที่กำหนดออกวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 7 June 2005 ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแนวเพลงจากเดิมที่เป็นแบบ Metal Core. M.Shadows เลือกที่จะไม่ร้องแบบ Scream (ตะโกนร้อง,คำรามเสียงแหบๆ) เหมือนกับ 2 อัลบั้มแรกที่เคยทำ นั่นก็คืออัลบั้ม Sounding the seventh trumpet และ Waking the fallen นั่นเอง. เพราะ Shadows มีปัญหาเส้นเลือดแตกในลำคอและต่อมาต้องเข้ารับการผ่าตัดช่วยเหลือให้ดีขึ้น เค้าจึงบอกว่าจุดนี้ที่ทำให้เค้าต้องเปลี่ยนสไตล์การร้องของเค้าเอง. ใน DVD All Excess โปรดิวเซอร์ของวงในอัลบั้มที่ 2 และ 3 “Mudrock” ได้บอกไว้ว่าตั้งแต่ก่อนที่จะมีการทำอัลบั้ม Waking the fallen นั้น M.Shadows ได้พูดคุยกับเขาไว้แล้วว่าต้องการที่จะให้อัลบั้มนี้ใช้การอัดเสียงแบบ Scream ครึ่งนึง ร้องปกติครึ่งนึง และอัลบั้มต่อไปจะไม่ใช้เสียงร้องแบบ Scream (City of Evil) แต่ว่าภายหลัง Shadows ก็ฝึกร้อง Scream ได้ดีขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ที่เค้าต้องเข้ารับการผ่าตัด และยังได้รู้มาช่วยฝึกด้านการใช้เสียงให้ด้วย นั่นคือ “Ron Anderson” ผู้ซึ่งเคยทำงานร่วมกับศิลปินมากมาย อย่างเช่น กลุ่ม Various Artists จาก Axl Rose / Kylie Minogue / Chris Cornell / My Chemical Romance. ผลงานล่าสุด (2007) ในปี 2006 Avenged Sevenfold ได้ออกทัวร์ที่อเมริกา, อังกฤษ, ยุโรป, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ หลังจากที่ก่อนหน้านั้นได้มีการยกเลิกทัวร์ในช่วง Fall และ Winter 2006. ทางวงได้ออกมาประกาศว่า กำลังจะมีอัลบั้มใหม่ออกมาเป็นอัลบั้มที่ 4 ตามการที่ตั้งไว้จะมีกำหนดออกจำหน่ายในวันที่ 30 ตุลาคม 2007 ในอเมริกา (ปัจจุบันนี้ได้ออกจำหน่ายเรียบร้อยแล้ว)

สมาชิกวง
M. Shadows - Lead vocals, Piano, Guitars (1999-present)
Synyster Gates - Lead guitars, Piano, Vocals (2001-present)
Zacky Vengeance - Rhythm Guitars, Vocals (1999-present)
Johnny Christ - Bass Guitars (2002-present)
The Rev - Drums, Piano, Vocals (1999-present)